เจาะกลยุทธ์แบรนด์ใหญ่ "EV โลก"

24 เมษายน 2566
เรากำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
เมื่อความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญ
ในขณะที่โลกมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว แบรนด์ EV ชั้นนําหลาย ๆ แบรนด์ต่างเร่งนํากลยุทธ์ เพื่อสร้างจุดขาย สร้างความแตกต่าง และใช้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมที่กําลังขยายตัวนี้
เราจะพาไปสํารวจ 5 กลยุทธ์ที่แบรนด์ EV ชั้นนำของโลกนำมาใช้
ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทาน EV ทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย
1. มุ่งเป็นผู้นําด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี
แบรนด์ EV ชั้นนำหลายแบรนด์ ได้ลงทุนอย่างมากในการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ทันสมัย พร้อมกำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม EV อย่างต่อเนื่อง ด้วยเทคโนโลยีใหม่ด้านแบตเตอรี่ ที่สามารถขับขี่ได้ในระยะทางที่ไกลขึ้น และเวลาชาร์จไฟที่เร็วขึ้น ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ระบบการขับขี่อัตโนมัติ ระบบควบคุมเครื่องจักรอัตโนมัติ และการวิเคราะห์ข้อมูลดูแลรักษา
2.ใช้กลยุทธ์ “แนวตั้ง” (Vertical Strategy) เพื่อบริหารจัดการธุรกิจแบบบูรณาการ
กลยุทธ์แนวตั้ง เป็นกลยุทธ์ในการควบคุมหรือบริหารทั้งกระบวนการผลิตไปจนถึงผู้ใช้งาน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นกลยุทธ์ที่มีการควบคุมตลอด Value Chain โดยแบรนด์ EV รายใหญ่ เช่น Tesla ได้นําแนวทางแบบบูรณาการมาใช้ในธุรกิจ เพราะสามารถควบคุมทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตได้ เช่น การผลิตแบตเตอรี่ ระบบการชาร์จพลังงาน การพัฒนาซอฟต์แวร์ และประกันคุณภาพสูง ที่ช่วยควบคุมคุณภาพ ลดต้นทุนและเร่งนวัตกรรมได้มากขึ้น
3. สร้างโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาเทคโนโลยีการชาร์จที่แข็งแกร่ง
การเข้าถึงระบบการชาร์จที่สะดวกและเชื่อถือได้เป็นปัจจัยสําคัญสําหรับ EV แบรนด์ใหญ่อย่าง Tesla, Volkswagen NIO, และ BYD ที่ต่างเร่งลงทุนในการพัฒนาเครือข่ายการชาร์จของตัวเอง หรือร่วมมือกับผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะสามารถเข้าถึงสถานีชาร์จได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
4. ร่วมมือเชิงกลยุทธ์และสร้างพันธมิตร
การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับผู้เล่นในอุตสาหกรรมอื่นสามารถช่วยให้แบรนด์ EV ใช้ประโยชน์จากจุดแข็ง และลดความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น Ford ที่มีผลิตภัณฑ์หลักเป็นรถยนต์ไฟฟ้า Mustang Mach-E ซึ่งเป็นที่สนใจในตลาดเป็นอย่างมาก และ Volkswagen ที่มีรถยนต์ไฟฟ้า ID.LIFE ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าดีไซน์สุดหรูเจาะกลุ่มตลาดวัยรุ่นและผู้ใช้รถในเมือง ได้ร่วมมือกันแบ่งปันแพลตฟอร์มและเทคโนโลยี EV
ในขณะที่ General Motors ซึ่งมีรถยนต์ไฟฟ้าหลักเป็น Chevrolet Bolt EV และ GMC Hummer EV ที่เน้นเทคโนโลยีสุดล้ำ สมรรถนะสูง และ LG Chem ซึ่งเป็นผู้ผลิตและพัฒนาเซลล์แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังระดับโลก ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อพัฒนาและผลิตเซลล์แบตเตอรี่ขั้นสูง โดยการร่วมมือนี้ช่วยให้ทั้งสองบริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถและความเชี่ยวชาญเพื่อส่งเสริมธุรกิจซึ่งกันและกัน
5. เน้นความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม
แบรนด์ EV รายใหญ่ต่างให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและ CSR ด้วยคํามั่นสัญญาที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก โดยพยายามใช้วัสดุที่ยั่งยืนมากขึ้นในการผลิต ความคิดริเริ่มเหล่านี้ไม่เพียงแต่นําไปสู่ภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ แต่ยังช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นสําหรับผลิตภัณฑ์ที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในฐานการผลิตรถยนต์รายใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงมีโอกาสเร่งปรับตัวและสร้างความพร้อมด้าน “EV Ecosystem” เพื่อก้าวสู่ “EV Hub” ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มาสามารถรองรับความต้องการทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก
ความพร้อมของทำเลที่ตั้งโรงงานผลิต และระบบซัพพลายเชน ก็เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการเลือกฐานการผลิต
ซึ่งไทยมีศักยภาพในการเป็นผู้เล่นหลักในห่วงโซ่อุปทาน EV ทั่วโลก โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมซัพพลายเออร์และผู้ผลิตในท้องถิ่นอย่างจริงจัง
และที่สำคัญคือการพัฒนาแรงงานที่มีทักษะ ซึ่งประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากกลุ่มผู้มีทักษะด้านยานยนต์ที่มีอยู่ โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษาพันธมิตรในอุตสาหกรรมและหน่วยงานภาครัฐเพื่อพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมที่ตรงเป้าหมายและสร้างความมั่นใจด้านความพร้อมของแรงงานให้กับบริษัทยานยนต์จากทั่วโลกได้
สำหรับบีโอไอมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ให้สิทธิประโยชน์แก่กลุ่มผู้ผลิต EV ที่ครอบคลุมทั้งรถยนต์และแพลตฟอร์มของรถยนต์ไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า และรถสามล้อไฟฟ้า รถจักรยานไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
เรือไฟฟ้า ชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานพาหนะไฟฟ้า แบตเตอรี่ รวมถึงสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้า (EV charging station) เพื่อดึงดูดให้ผู้ผลิต EV เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยอย่างครบวงจร สอดคล้องกับนโยบาย 30@30 ของภาครัฐที่กำหนดให้ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) ประเทศไทยต้องมีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในสัดส่วนร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในประเทศ
ทั้งหมดนี้คือโอกาสทองของไทยในการดึงดูดความสนใจจากตลาด EV ทั่วโลกให้เข้ามาลงทุนในประเทศ โดยอาศัยความพร้อมและศักยภาพในการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งในการผลิต EV ที่ไทยมีเป็นตัวขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการเป็น EV Hub ของภูมิภาคนั่นเอง
ปลดล็อกศักยภาพของประเทศไทยได้อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างอนาคตที่รุ่งโรจน์ในโลกยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า